King Gizzard & The Lizard Wizard - Butterfly 3000 [NEW ALBUM RELEASE]

King-Gizzard-The-Lizard-Wizard_567.jpg

King Gizzard & The Lizard Wizard กลับมาพร้อมอัลบั้มชุดที่สองของปี Butterfly 3000 กับซาวด์ในรูปแบบใหม่

King-Gizzard-The-Lizard-Wizard.jpeg

การที่ปล่อยผลงานออกมาสามชุดในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีก็คงมีแต่ King Gizzard & the Lizard Wizard เท่านั้นแหละที่ทำได้ Butterfly 3000 สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 18 กับซาวด์สดใหม่ที่ต่างจาก K.G. และ L.W. ดับเบิลอัลบั้มก่อนหน้าไปอย่างมาก ถึงกระนั้นมันก็ยังคงลักษณะความเป็นตัวตนของวงดนตรีหลากแนวเพลงชาวออสซี่วงนี้ไว้อยู่ดี

ปักหลักกันอยู่ในเมืองเมลเบิร์น King Gizz ได้ถูกต่อตั้งขึ้นในปี 2010 กับเจ็ดสมาชิกหลักหลากความสามารถทางด้านการเล่นเครื่องดนตรีที่หลากหลาย ประกอบไปด้วยหัวหน้าทีม Stu Mackenzie ตามด้วย Ambrose Kenny-Smith, Joey Walker, Cook Craig, Lucas Harwood, Michael Cavanagh และ Eric Moore ที่เพิ่งถอนตัวออกจากวงไปเมื่อปีที่แล้ว King Gizz โด่งดังในเรื่องความคิดสร้างสรรค์สุดยูนีคในแต่ละอัลบั้ม พวกเขาเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครหลักที่มีบทบาทต่างๆ ยิ่งกว่าหนัง saga ของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ จนแฟนๆ ถึงกับเรียกการมีอยู่ของตัวละครเหล่านั้นในจักรวาลสมมติว่า "Gizzverse"

พอพูดถึงแนวทางของอัลบั้มนี้ มันเห็นได้ชัดว่า Butterfly 3000 มีความเบาและความยุ่งเหยิงในซาวด์น้อยกว่าอัลบั้มก่อนๆ ด้วยการทิ้งกีตาร์ไฟฟ้ามาเล่นกีตาร์โปร่ง การสร้างเสียงที่ใช้ซินธิไซเซอร์และโปรแกรม MIDI เป็นหลัก รวมไปถึงการใช้คีย์เสียงหลักทางดนตรี ซึ่งผู้ฟังสามารถรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีแรก แต่พวกเขายังคงคอนเซ็ปต์ที่หยิบเอาเมโลดี้จากเพลงก่อนหน้ามาใช้เป็นตัวดำเนิน และความเป็นเรื่องราวต่อกันของเนื้อร้อง ซึ่งมันทำให้ทุกอย่างไหลลื่นเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดทั้งความยาว 44 นาที ถ้าถามว่าอะไรดนใจให้พวกเขาทำผลงานในรูปแบบนี้ Stu Mackenzie เล่าว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจาก interlude ที่เขาแต่งขึ้นมาให้หนังคอนเสิร์ตของวงชื่อ Chunky Shrapnel ซึ่งมีซาวด์สไตล์ arpeggio พวกนี้ถูกวางกระจัดกระจายไปทั่วตลอดเรื่อง

“เสียงซินธ์ที่เราใช้กันมันเป็นการรวมกันแบบแรนดอมของโน้ตในซีเควนซ์หลัก ตอนนั้นพวกเราหลงไหลกับจำนวนของโน้ตที่ไม่บาลานซ์กัน แทนที่การใช้กลอง จังหวะแปลกๆ พวกนี้มาจากเครื่องซินธิไซเซอร์ พวกเราถูกนำทางด้วยความสามารถของเทคโนโลยี ผมก็เลยคิดว่าผมจะลองเปิดใจลองให้มันนำทางดูสักตั้ง”

อัลบั้มเปิดมาด้วยแทรกอุ่นเครื่อง “Yours” บิวต์อารมณ์ด้วยความสอดคล้องของเสียงซินธ์และกีตาร์อะคูสติกส์ที่ให้ความรู้สึกแง่บวกและใสซื่อ ซาวด์เริ่มเข้มข้นขึ้นด้วยความต่อเนื่องของสามเพลงถัดมา เริ่มจาก “Shanghai" บอกผ่านประสบการณ์ที่ทำให้พวกเขาก้าวสู่บทถัดไปของชีวิต เปรียบเสมือนผีเสื้อที่ฝักตัวออกมาจากรังไหม ต่อด้วย "Dreams" ฉีกกฎความดาร์ก ดิบของเนื้อเพลงด้วยพลังบวกเช่นในท่อน “I only wanna wake up in my dream / I only need the castle in the air” และสิ้นสุดพาร์ทนี้ด้วย "Blue Morpho" ที่แรกเริ่มเดิมทีทำหน้าที่เป็นเอาท์โทรสั้นๆ ก่อนจะไปถึงจุดพีคกับ "Interior People" แทรกที่แต่งเนื้อร้องขึ้นโดยมือกีตาร์ Joey Walker เกี่ยวกับการตั้งคำถามสุขภาพจิตของตัวเอง "Catching Smoke" ฟีเจอร์การร้องประสานในโทนเสียงสูงของ Mackenzie และมือคีย์บอร์ด Ambrose Kenny-Smith “2.02 Killer Year" เตือนใจผู้ฟังถึงการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศจากสภาวะโลกร้อน "Black Hot Soup" มีลักษณะความเป็น King Gizzard แบบคลาสสิกด้วยเสียงนอยส์กีตาร์ท้ายเพลง Mackenzie แต่งเนื้อ "Ya Love" ขึ้นหลังจากรู้ว่าเขากำลังจะเป็นพ่อคน ซึ่งน่าจะเป็นแทรกแรกของวงที่มีความหมายเกี่ยวกับความรัก และปิดฉากอัลบั้มอย่างกินใจด้วยไตเติ้ลแทรก “Butterfly 3000” 

King Gizz ยังคงทำผลงานใหม่ๆ ออกมาเซอร์ไพรส์แฟนเพลงอยู่อย่างสม่ำเสมอ แม้แต่การมีครอบครัวหรือการระบาดของเชื้อไวรัสก็ไม่สามารถหยุดนักดนตรีทั้งหกคนนี้ได้เลย พวกเขายังคงพัฒนาแนวทางเพลงไปเรื่อยๆ จนทำให้เราอยากรู้ว่าพวกเขาจะมามุกไหนอีกในผลงานชุดต่อๆ ไป พอทุกคนอ่านจบมาถึงจุดนี้ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะทำอัลบั้มอีกชุดหนึ่งเสร็จแล้วก็เป็นได้


HINDI_1024x.jpeg
 

THE LATEST

Previous
Previous

kings of convenience - peace or love [new album release]

Next
Next

SOLITUDE IS BLISS - ICARUS CONCERT [Review]