I'll Be Your Mirror: A Tribute to the Velvet Underground & Nico

567x567_tribute to the velvet underground.jpg

I'll Be Your Mirror ผลงานทริบิวท์ที่เปรียบดั่งกระจกเงาสะท้อนภาพของ The Velvet Underground & Nico

การรวมชื่อศิลปินตั้งแต่รุ่นเก๋าเกมส์อย่าง Michael Stipe, Thurston Moore, Iggy Pop ไปจนถึงวงดนตรีหน้าใหม่อย่าง Fontaines D.C., King Princess คงไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ หากว่าเบื้องหลังของโปรเจกต์นี้ปราศจาก Hal Willner มิวสิคโปรดิวเซอร์ระดับตำนานผู้เป็นมิตรสหายคนสำคัญของ Lou Reed ซึ่งเขาได้ฝากฝังอัลบั้มรำลึกถึงเพื่อนรักของเขาอีกครั้ง I'll Be Your Mirror: A Tribute to The Velvet Underground & Nico ผลงานชิ้นสุดท้ายก่อนเขาจะเสียชีวิตลงจากการระบาดของโคโรน่าไวรัสเมื่อปีที่ผ่านมา

A-Tribute-To-VelvetUnderground-Nico.jpeg

I'll Be Your Mirror | 2LP | 1,590.00 ฿


Hal Willner ร่วมงานกับ Lou Reed เป็นครั้งแรกในปี 1985 กับอัลบั้มทริบิวท์นาม Lost in the Stars: The Music of Kurt Weill โดยเป็นช่วงที่เขากลับมาสนใจในดนตรีร็อคอีกครั้งหลังจากที่หายไปขลุกตัวอยู่กับดนตรีแจ๊สช่วงยุค 70s ระยะหนึ่ง การหวนคืนของวิลเนอร์ทำให้เขาเริ่มสานสัมพันธไมตรีกับศิลปินอย่าง Lou Reed ผู้ที่กำลังออกผลงานในช่วงบั้นปลายชีวิต และกลายเป็นคนที่ฝากมรดกของตัวเองไว้ในมือวิลเนอร์ ด้วยการทำบ็อกเซ็ต The RCA & Arista Vinyl Collection ที่เป็นการนำบทเพลงสมัยรุ่งเรืองของ Lou Reed มาทำใหม่ และจัดจำหน่ายในปี 2016 สามปีหลัง Lou Reed เสียชีวิตลง

 
tmQG8BLw.jpeg

แม้อัลบั้ม I'll Be Your Mirror จะอยู่ในมือของคนที่เข้าใจใน The Velvet Underground เป็นอย่างดี แต่มรดกตกทอดของวงนี้ก็เป็นที่รับรู้มานานจนมีการทำผลงานทริบิวท์มานับไม่ถ้วนแล้ว หนึ่งในนั้นคือ Heaven & Hell (1991) ที่มีวงดนตรีดังๆ อย่าง Nirvana, Ride, Chapterhouse มาร่วมแสดงความคารวะร่วมกัน หากจะมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ ‘I'll Be Your Mirror’ โดดเด่นขึ้นมาจากผลงานทริบิวท์ชุดก่อนๆ ก็เห็นจะเป็นการเจาะจงไปที่อิทธิพลของ The Velvet Underground & Nico (1967) อัลบั้มสุดไอคอนนิคที่จารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์แห่งวงการดนตรี ดังคำกล่าวที่ว่า “ทุกคนที่ได้อัลบั้มชุดนี้ไปในช่วงการวางขายครั้งแรก ล้วนก่อตั้งวงดนตรีเป็นของตัวเอง”

โลกนี้ได้ทำความรู้จักกับหน้าปกรูปกล้วยที่ดีไซน์ภาพโดย Andy Warhol คาบเกี่ยวระหว่างช่วงเวลาที่เครือข่ายการฟังเพลงอันเดอร์กราวด์ยังไม่ก่อร่างสร้างตัวดี ทำให้ผลงานที่มีเนื้อหาสุดฉาวโฉ่ทั้งด้านสารเสพติด, การค้าประเวณี, BDSM และเอฟเฟคข้างเคียงหลังใช้ยาแบบนี้คงยากจะประสบความสำเร็จในวงกว้างได้ ขนาดเจ้าตัว Lou Reed ผู้ที่คลั่งไคล้นักกวีนิพนธ์อย่าง Raymond Chandler, William S. Burroughs, Nelson Algren, Allen Ginsberg, Hubert Selby Jr. ยังไม่เคยคิดจะเขียนเนื้อหาทำนองนี้เลย คัดค้านหัวชนฝา แต่ท้ายสุดพี่แกก็ยอม

Original-Velvet-Underground-Andy-Warhol.jpg
Lou Reed with Andy Warhol

Lou Reed with Andy Warhol

และคงไม่มีค่ายเพลงค่ายไหนเหมาะเจาะไปกว่า Verve Records บ้านพักหลังอบอุ่นที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่มาตั้งแต่ปี 1967 โดย Jamie Krents แห่งสังกัด Verve Records ได้พูดถึงการปล่อยอัลบั้มชุดนี้ไว้ว่า

"พวกเราโชคดีมากที่ได้ร่วมงานกับ Hal Willner ในการรำลึกถึงอัลบั้มที่เป็นไอคอนแห่งยุคสมัย ถือว่าเป็นเกียรติที่ได้เห็นศิลปินเหล่านี้ร่วมงานกัน ผมหวังว่าอัลบั้มนี้จะได้ไปอยู่ในสถานที่ที่เห็นคุณค่าของมัน อย่างการอยู่ในคอลเล็คชั่นของแฟนๆ The Velvet Underground ทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่”

นอกจากสตอรี่ที่พวกเราพยายามร่ายยาวมาทั้งหมด ก็ได้มีการโปรโมทชิมลางด้วยการปล่อยซิงเกิลพร้อมมิวสิควิดีโอคุมธีมอย่าง “Run Run Run” by Kurt Vile & The Violators, “I’m Waiting For The Man” by Matt Berninger of the National, “I’ll Be Your Mirror” by Courtney Barnett และ “Femme Fatale” by Sharon Van Etten (with additional vocals by Angel Olsen) ตามลำดับ รวมถึงศิลปินหลากรายชื่อ อาทิ Andrew Bird, St. Vincent, Thurston Moore, Bobby Gillespie, Michael Stipe, King Princess, Fontaines DC, Iggy Pop, Matt Sweeney ที่พึ่งปล่อยของให้ฟังกันสดๆ ร้อนๆ ซึ่งภายในเดือนตุลาคมนี้ แฟนๆ จะได้ตื่นตาตื่นใจกับการเข้าฉายของสารคดี The Velvet Underground บนแอปเปิ้ลทีวีอีกด้วย นับเป็นปีทองแห่งการรำลึกนึกถึงวงดนตรีวงนี้จริงๆ



 

THE LATEST

Previous
Previous

parquet courts - sympathy for life [album review]

Next
Next

BEHIND THE COUNTER : Video SERIES FOR RECORD STORE DAY