HYH INTERVIEW WITH OLIVER SIM - HIDEOUS BASTARD


ความกลัว ความละอาย และหนังสยองขวัญ ปั่นรวมกันเป็น Hideous Bastard อัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของ Oliver Sim 

หลังจากที่เพื่อน ๆ The XX ทั้ง James Thomas Smith หรือ Jamie XX และ Romy Madley Croft ปล่อยงานเดี่ยวออกมาให้เราได้ฟังกันไปบ้างแล้ว ก็ถึงตาของสมาชิกคนสุดท้าย Oliver Sim ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวอีกมุมนึงของเขาออกมาเป็นอัลบั้ม Hideous Bastard ผลงานที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์สยองขวัญที่อบอวลไปด้วยดนตรีเท่และบรรยากาศสุดเย้ายวน เพื่อจะยืนยันกับเราว่า ความกลัวไม่จำเป็นต้องนำเสนอออกมาแค่อะไรหลอน ๆ เพียงอย่างเดียว

เราได้พูดคุยกับเขาผ่านวิดิโอคอลในช่วงเช้าที่ลอนดอนอย่างเป็นกันเอง บอกเลยว่าเป็นบทสนทนาที่ชวนยิ้มทุกบรรทัด เลื่อนไปอ่านย่อหน้าต่อไปเพื่ออุ่นเครื่องฟังอัลบั้มใหม่จากเขาได้เลย 


ก่อนอื่นต้องบอกว่าเราหยุดฟังอัลบั้มใหม่ของคุณไม่ได้เลย เป็นอัลบั้มที่ดีมาก ๆ ขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้งนะ

นี่ทำให้ผมมีความสุขมาก ๆ เลย ขอบคุณครับ

ช่วยอธิบายคอนเซปต์ของอัลบั้ม Hideous Bastard ให้ฟังหน่อยว่า ทำไมเลือกนำเสนอภาพใบหน้าของคุณที่โชกเลือด มีตัวหนังสือโผล่มาตามผิวหนัง มาใช้เป็นปกอัลบั้ม

ต้องบอกตามตรงว่า อัลบั้มนี้ได้นำเสนอสิ่งที่ผมรักมาก ๆ นั่นก็คือหนังสยองขวัญ มันเป็นโอกาสที่เหมาะเจาะมาก ๆ เพราะอัลบั้มนี้ผมพูดถึงเรื่องความกลัวและความละอาย อันที่จริงผมก็มีความกลัวเยอะมากมันเลยอาจจะดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่นักที่ผมบอกว่าผมชอบอะไรหลอน ๆ แต่ในความเป็นจริงก็คือ ‘ความน่ากลัว’ (horror) มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นแค่พวกผีดิบ สัตว์ประหลาด ฆาตกรต่อเนื่อง หรือพวกเรื่องเล่าพื้นบ้าน มันไม่ได้มีแค่อะไรหลอน ๆ เหวอะ ๆ ไปซะหมด สิ่งที่ผมกลัวอาจจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ ความเหงา ดังนั้นสำหรับผม ความสยองขวัญมันไม่จำเป็นต้องหม่นหรือเฮี้ยน มันสามารถเป็นอะไรที่มีความหมาย สนุก หรือตลกก็ได้ 

ตอนที่ผมจะทำปกอัลบั้ม ผมติดต่อผู้กำกับหนังที่ผมชอบหลาย ๆ คน ซึ่งคนนึงในนั้นคือ Yorgos Lanthimos ที่กำกับ The Favourite, The Killing of a Sacred Deer, The Lobster เขาแนะนำ Vasilis Marmatakis ศิลปินที่ออกแบบโปสเตอร์เก๋ ๆ ให้หนังเขาหลายเรื่องมาตลอด 10 ปี ก็ได้เขามาออกแบบปกอัลบั้มให้กับผมนี่แหละ โดยมี Casper Sejersen มาถ่ายให้ มันออกมาดูรุนแรง เหวอะหวะ แล้วผมกำลังยิ้มอยู่ มันดูประดักประเดิดไปหมด ซึ่งก็ถูกใจผมดี

เห็นว่าอัลบั้มนี้ได้ร่วมงานกับผู้กำกับหนังสยองขวัญ ภาพรวมของงานจะออกมาในรูปแบบไหนบ้าง

ผมมองอัลบั้มนี้เป็นเหมือนหนังเรื่องนึงเลย ภาพในหัวผมคือเห็นเป็นฉาก ๆ มีเรื่องเล่าไปได้เรื่อย ๆ ผมรู้สึกว่าอัลบั้มนี้มีความหมายกับผมมาก และเล่าออกมาอย่างซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ซึ่งขณะเดียวกันเราก็ไม่ต้องสื่อออกมาแบบเถรตรง ผมมองว่างานศิลปะน่ะ เราสามารถทำให้มันออกมามหัศจรรย์บันเทิง ตื่นเต้น แต่ยังนำเสนอความจริงใจออกมาได้ ผมก็เลยชวน Yann Gonzalez มาร่วมงานด้วย เขาทำหนังสยองขวัญ อย่างที่บอกว่ามันไม่จำเป็นต้องดาร์กและหลอนอย่างเดียว มันสามารถเซ็กซี่ เพี้ยน ตลก ได้ เขาเป็นเหมือนคนร่วมงานในฝันเลย ช่วงที่เขาทำหนังเป็นช่วงเดียวกับที่ผมทำอัลบั้ม แล้วตอนล็อกดาวน์พวกเราเป็นเหมือนเพื่อนที่เขียนอีเมลส่งหากันตลอด ๆ แน่นอน เพลงผมให้แรงบันดาลใจกับหนังของเขา และหนังของเขาก็ให้แรงบันดาลใจกับเพลงของผม ทั้งเพลงและหนังจะถูกปล่อยออกมาพร้อมกันในวันที่ 9 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ๆ ครับ

คุณเคยพูดถึงความกลัวและความละอายหลายครั้ง แต่อัลบั้มนี้คุณก็ได้พูดถึงเรื่องความเป็นชายเอาไว้ด้วย อยากรู้ว่า ‘ความเป็นชาย' มีผลกระทบต่อชีวิตของคุณและการมองโลกของคุณยังไงบ้าง

เป็นเรื่องตลกดีครับ เพราะเป็นสิ่งที่ผมต้องเผชิญตั้งแต่เป็นเด็ก ตัวอย่างที่น่าจะชัดที่สุดก็คือผมไม่เล่นฟุตบอล แต่ผมดันอาศัยอยู่ในประเทศเนี้ย (อังกฤษ) ในฐานะเด็กตัวเล็ก ๆ คนนึง มันแปลกมากว่าที่โรงเรียนไม่มีใครชวนผมไปเล่นฟุตบอลเลย ถึงแม้ว่าผมเองจะไม่ได้สนใจฟุตบอลขนาดนั้น แต่มันไม่ได้แปลว่าผมไม่อยากเล่นด้วย ผมอยากโดนชวนจะตาย มันแค่เป็นความรู้สึกว่าเพื่อนไม่ชวนอะ ซึ่งมันทำให้ผมสับสนมากเพราะขณะเดียวกันผมก็รู้สึกคลั่งไคล้พวกผู้ชายเตะบอลพวกนี้อย่างบอกไม่ถูก จนผมมารู้ว่า อ่อ ผมเป็นเกย์ (หัวเราะ) ตอนนั้นไม่เคยรู้เลย แต่มัน (ความเป็นชาย) ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมต่อกับเพศวิถีของผม ขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมอยากตัดขาดจากสิ่งนั้น แล้วมันก็มีความคิดเรื่องความเป็นชายที่เกี่ยวโยงกับการที่ผมเป็นเกย์ เพราะผมก็ไม่ได้แสดงความเป็นผู้หญิงขนาดนั้น ดังนั้นอัลบั้มนี้ผมใช้คำว่า ‘man’ เยอะมาก แล้วทุกครั้งที่ใช้ก็เหมือนเป็นการตั้งคำถามว่า ‘ผู้ชาย’ คืออะไร ’ผู้ชาย’ มันควรจะเป็นยังไง ตอนทำอัลบั้มนี้ผมตั้งคำถามกับตัวเองเยอะมากเหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องได้คำตอบด้วยนะ เผลอ ๆ ได้คำถามเพิ่มมาอีก แต่ในความเป็นจริงคือผมรู้สึกว่าการที่ผมตั้งคำถามมันเหมือนได้คลายปมอะไรบางอย่างไปในตัวเหมือนกัน การที่ผมแบ่งปันเรื่องราว ทำหนัง แล้วก็อนุญาตให้ตัวเองใส่ความเป็นผู้หญิงและความเป็นผู้ชายลงไปในงานนี้ มันทำให้ผมรู้สึกมั่นใจกับการเป็นตัวเองขึ้นเยอะเลย


ศิลปินหลาย ๆ คนเชื่อว่าการเขียนเพลงเป็นการบำบัดความเศร้าอย่างนึง ส่วนมากเลยพูดเรื่องทุกข์ใจระบายออกมา แต่คุณบอกว่าอัลบั้มนี้จะถูกเล่าด้วยความขบขันและความสนุกซะมากกว่า แบบนี้เป็นเพราะว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่บวกหรือเปล่า

คนคิดบวกหรอ? ผมว่าผมเป็นคนอยู่กับความเป็นจริงมากกว่า (หัวเราะ) ผมสนุกกับการมองโลกในแบบที่มันเป็นนะ ผมไม่ได้สัมผัสกับแค่ความสุขหรือความเศร้า มืดหรือสว่าง ชีวิตของเราต้องผ่านอะไรมากมายหลายอย่าง ผมว่าสิ่งเหล่านี้มันสะท้อนออกมาในเพลงหรือหนังที่ผมชอบ เพลงเศร้าของผมมักจะมีอะไรบางอย่างที่ดูสนุก หรือเพลงเต้น เพลงแฮปปี้ ก็จะมีอะไรเศร้า ๆ แฝงอยู่เสมอ นั่นคือการมองโลกของผมแหละ แล้วผมก็พยายามถ่ายทอดมันออกมาในอัลบั้มชุดนี้ด้วย อย่างที่บอกการเขียนถึงความกลัวและความละอายไม่จำเป็นต้องเศร้าหรือเห็นใจ ไม่ต้องหม่น เช่นกันการที่ผมเขียนถึงเรื่องพวกนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ ...ผมยังสามารถจดจำความเจ็บปวดได้ จำความหดหู่ใจได้ แต่ปฏิกิริยาของผมที่มีต่อสิ่งเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเศร้านี่ แต่บางครั้งถ้าเกิดผมรู้สึกเศร้าขึ้นมาจริง ๆ ผมก็อนุญาตให้ตัวเองเศร้านะ ดังนั้นผมมองว่าตัวเองเป็นพวกที่อยู่กึ่งกลางแหละมั้ง

จริงด้วย ในอัลบั้มนี้มีทั้งความสนุกแต่ก็มีบรรยากาศหม่น ๆ ซ่อนอยู่ อยากรู้ว่าเพลงเหล่านี้ได้อิทธิพลทางดนตรีหรือแรงบันดาลใจมาจากอะไรบ้าง
มีหลายอย่างที่แตกต่างกันไปหมดเลย เราแซมพ์กันเยอะมาก ผมกับ Jamie XX เอาเพลง The Beach Boys มาแซมพ์ Lee Hazlewood, Sam Dees หลาย ๆ คนในยุคนั้น ส่วนมากก็เพลงที่พ่อแม่พวกผมชอบฟัง และแน่นอน เพลงประกอบหนังสยองขวัญ มันฟังดูเพราะมาก ๆ แต่ก็มีความรู้สึกว่าลางร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาด้วย แล้วก็ยังมีศิลปินอีกหลายคน... David Byrne สำคัญกับผมมาก Talking Heads เนี่ยแม่ผมก็ชอบมาก คือเขาเป็นคนที่เป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิตที่ดีมาก ๆ คนนึง เขามองอะไรลึกซึ้ง มีความหมาย แต่ขณะเดียวกันก็มองเห็นมุมที่ตลกในสิ่งรอบตัวได้ด้วย Jimmy Somerville ก็เป็นอีกคนที่ไม่ได้เป็นแค่คนที่เปล่งเสียงแทนผู้ติดเชื้อ HIV เอดส์ หรือเกย์ แต่ยังเป็นเสียงให้กับหลาย ๆ คนที่กำลังรู้สึกว่าถูกสังคมนี้หลงลืม แล้วก็ John Grant เขาเป็นนักแต่งเพลงอัจฉริยะ จะเขียนให้มันหม่นสุด ๆ เลยก็ได้ หรือจะตลกสุด ๆ ไปเลยก็ได้ ครับ มีหลายอย่างที่มีอิทธิพลในอัลบั้มนี้ จากทั้งอดีต ทั้งอนาคต (ยิ้ม)

The XX จะได้กลับมารวมตัวกันเมื่อไหร่ เราจะได้ฟังเพลงของพวกคุณทั้งสามคนเร็ว ๆ นี้ไหม

แน่นอน 100% ยังไม่ได้อัดเพลงใหม่กันนะ แต่ว่าเราแฮงเอาท์กันบ่อย คุยกันตลอด ผมว่าพวกเราสามคนตื่นเต้นมากที่จะได้กลับมาทำงานด้วยกัน เพราะอย่างผมเอง ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมากในการทำอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง Romy ทำอัลบั้มของตัวเองเสร็จแล้วเหมือนกัน แล้วมันดีมาก โคตรรรดี แนวเพลงไม่เหมือนกับของผมเลย ส่วน Jamie ก็ทำเพลงของตัวเองอยู่ เนี่ยเหมือนพอต่างคนต่างทำเพลง ผมก็อยากรู้ว่าเราไปเจออะไรกันมา มันจะทำให้ซาวด์ของ The XX เปลี่ยนไปยังไงบ้าง บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ แต่มันจะเกิดขึ้นแน่นอน

รู้สึกยังไงบ้าง อัลบั้มจะปล่อยแล้ว

มันเร็วไม่พออะ อยากให้ปล่อยแล้ว ผมทำมันเสร็จมาพักใหญ่ ๆ แล้ว อยากให้คนอื่น ๆ ได้ฟัง การรอคอยมันยากมาก ๆ เพราะบางทีคุณอยู่กับความคิดตัวเองมากเกินไปจนคิดว่า ‘เอ้า แล้วถ้าคนฟังไม่ชอบล่ะ’ ไม่รู้สิ มันมีความรู้สึกหลายอย่างตีกันไปหมดในตัวผมตอนนี้ มันทำให้นึกถึงตอนทำ The XX อัลบั้มแรก มันคือความไร้เดียงสา ความไม่รู้ ซึ่งมันน่ากลัว แต่ขณะเดียวกันมันก็น่าตื่นเต้นมาก ๆ เหมือนเราได้กลับไปรู้สึกเป็นวัยรุ่นแบบนั้นอีกครั้ง เป็นความรู้สึกที่เยี่ยมมาก นั่นแหละ ผมรอไม่ไหวแล้ว อยากให้อัลบั้มออกวันนี้ เดี๋ยวนี้เลย

ฝากอะไรถึงแฟน ๆ หน่อย
อยากไปหามากครับ คิดถึงมาก ๆ อยากไปไทยมาก ๆ ผมคิดถึงเอเชีย โชว์สุดท้ายที่เราทัวร์กันจบที่เอเชีย เป็นหนึ่งในทัวร์ที่ชอบที่สุดเลย ถ้าอยากให้ผมมาทัวร์งานเดี่ยว หรือให้มากับ Romy และ Jamie ผมไม่ติดเลย บอกละกันว่าไปได้เมื่อไหร่ จะรีบไปเลย 

ขอขอบคุณ Beggars Thailand ที่ทำให้เกิดบทสนทนาน่ารัก ๆ แบบนี้กับ Oliver Sim แล้วอย่าลืมรอฟัง Hideous Bastard อัลบั้มเดี่ยวชุดแรกที่สำคัญกับเขาคนนี้มาก ๆ และรอรับชมภาพยนตร์ชุดเดียวกันได้ในวันที่ 9 กันยายนนี้ อีกอึดใจเดียว!


 

Previous
Previous

#HYBKK LiVE! with RHYE

Next
Next

HAVE YOU HEARD? : CIGARETTES AFETER SEX | LIVE FROM L.A.