HYH INTERVIEW WITH BEABADOOBEE - BEATOPIA


Beabadoobee หรือ Beatrice Laus ศิลปินมาแรงจาก Dirty Hit Records ที่ประสบความสำเร็จสุด ๆ กับอัลบั้มชุดแรก Fake It Flowers และมี EP Our Extended Play ออกมาให้เราได้ฟังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้เธอจะมีอัลบั้มเต็มชุดที่สอง Beatopia ที่บอกเล่าตัวตนของเธอผ่านทั้ง 14 แทร็ค รวมถึงเพิ่งได้ขึ้นแสดงที่ Coachella ในฐานะศิลปินเชื้อสายฟิลิปปินส์ที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ มาพูดคุยกับเธอถึงอัลบั้มใหม่และการได้เล่นเฟสติวัลใหญ่งานนี้กัน

HYH: ดีใจด้วยกับอัลบั้มใหม่ เป็นไงบ้าง เหมือน Fake It Flowers เหมือนเพิ่งออกมาเมื่อวานนี้เอง

Beabadoobee : พอดีล็อกดาวน์โควิดเลยทำให้ฉันมีเวลาเขียนเพลงอัลบั้มใหม่ค่ะ (หัวเราะ)

HYH: ชื่ออัลบั้มนี้มีที่มาจากคำว่า Bea กับ utopia หรือเปล่า หน้าตาของ Beatopia เป็นแบบไหน

Beabadoobee : จริง ๆ มันไม่ใช่คอนเซ็ปต์อัลบั้มค่ะ แต่มันเป็นความคิดตอนอายุ 7 ขวบที่ฉันสร้างโลกใหม่ขึ้นมา Beatopia มันเหมือนเป็นสิ่งที่ฉันค้นพบในตัวเอง มันไม่ได้เหมือนอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง แค่เป็นสิ่งที่อยู่ในตัวฉันมาตลอดและฉันต้องใช้เวลาประมาณนึงกว่าที่จะยอมรับตัวเอง แล้วก็ใช้ชีวิตร่วมกับมันได้ คิดว่าทุกคนคงมียูโทเปียของตัวเองที่ต้องค้นหาจากข้างใน ตอนเด็ก ๆ คือก็ค่อนข้างมีไอเดียเพี้ยน ๆ ไม่เหมือนชาวบ้านอะนะ อย่างการตั้งชื่อประเทศใหม่ คิดภาษาขึ้นใหม่ สิ่งที่ฉันเห็นใน Beatopia แบบชัดมาก ๆ เลยคือสี มันจะเป็นสีชมพู เทา ดำ เขียว ออกโทนพาสเทลหน่อยเหมือนกับปกอัลบั้ม เนี่ย เหมือนเคสไอโฟนฉันเลยค่ะ

HYH: เนื้อหาในอัลบั้ม Fake It Flowers ต่างกับ Beatopia ยังไง 

Beabadoobee : ใน Fake It Flowers ฉันเอาแต่พูดเรื่องอดีต ซึ่งมันน่าอายมาก (หัวเราะ) แต่กับ Beatopia เพลงส่วนใหญ่ฉันพูดเรื่องที่อยู่กับปัจจุบัน แล้วเวลาที่พูดเรื่องอดีตก็ไม่ได้ตีโพยตีพายแบบชุดก่อน อันนี้เหมือนเป็นการมองย้อนกลับไปดูและค้นพบว่า มันกลับไปแก้ไขไม่ได้ เราก็แค่ยอมรับตัวตนในอดีตของตัวเอง โตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังค่อย ๆ เรียนรู้การเติบโตอยู่ค่ะ

HYH: ซาวด์ในอัลบั้มนี้ทำให้นึกถึงเพลง 90s - 2000s ทำไมถึงชอบเพลงยุคนี้ทั้ง ๆ ที่เธอก็เกิดปี 2000 ไม่น่าจะทันไหมนะ

Beabadoobee : Fake It Flowers เนี่ยได้ยุคนั้นมาเยอะมาก เรียกได้เลยว่าเป็นอัลบั้มร็อก แต่ Beatopia เป็นการรวมกันของงานหลาย ๆ ยุคมากกว่า มาหลายแนวเลย ไม่รู้สิคะ คงเพราะฉันโตมากับเพลงที่แม่ชอบเปิดฟัง ทั้ง The Cranberries, The Sundays แล้วก็อีกหลายวงเจ๋ง ๆ ส่วน Beatopia เนี่ยได้ Broken Social Scene มาเยอะมาก Stereolab, Cibo Matto ไม่รู้สิคะ รู้สึกว่าในอัลบั้มนี้ไม่ได้ตั้งใจเอาอะไรมาเป็น reference ขนาดนั้น คือมันออกมาเอง ฉันรู้สึกเขียนเพลงได้อิสระ อย่างบางทีอยากเขียนเพลงป๊อป r&b ก็จะเขียนเลย ช่างแม่ง (หัวเราะ) อย่างบางทีเวลาเข้าห้องอัดก็จะคุยกับเจค็อบว่า เฮ้ย อยากทำเพลงแจ๊สว่ะ

HYH: ที่บอกว่าอัลบั้มนี้มีซาวด์แบบ 2006 ทำไมจะต้องเฉพาะเจาะจงในปีนี้

Beabadoobee : ฉันรู้สึกว่าปี 2006 มีเพลงเจ๋ง ๆ ออกมาเยอะมาก แล้วศิลปินก็ทำเพลงกันแบบไม่ค่อยแคร์คนฟัง เขาไม่ค่อยยึดติดกับแนวไหนเป็นพิเศษด้วย คืออยากทำแบบไหนก็ทำเลย ซึ่งฉันอยากทำอะไรแบบนี้ คือก็แค่อยากทำเพลง มันเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ฉันวนเวียนมาแตะในเพลงยุคนี้ตลอด แล้วเอาจริง ฉันว่าคนชอบโรแมนติไซส์อดีตกันเพราะปัจจุบันมันน่าเบื่อ (หัวเราะ) ฉันชอบนำเสนอตัวเองด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างจากยุคนั้น แล้วเสื้อผ้ายุคนั้นเอามาใส่ในตอนนี้มันก็ยังใส่ได้อยู่ มันง่ายดีด้วย

HYH: ช่วงยุค 2000s ที่หนังรอมคอม หนังวัยรุ่น ที่มีเพลงพวกนี้ประกอบอยู่เยอะมาก Bea มีหนังเรื่องไหนที่ชอบหรือเป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงบ้างไหม

Beabadoobee : มีเยอะมากเลยค่ะ ฉันเพิ่งเคยฟัง Elliott Smith ตอนได้ดู... ไม่ใช่ Dead Poets Society น่าจะ Good Will Hunting ค่ะ แล้วก็ชอบ Submarine ที่ Alex Turner ทำเพลงประกอบทั้งเรื่อง ฉันรู้สึกว่ามันเจ๋งมาก แล้วก็มีเรื่อง But I’m a Cheerleader ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ Fake It Flowers เลยค่ะ ส่วน Beatopia ไม่ได้มาจากหนังเรื่องไหนเป็นพิเศษ แต่ว่าช่วงนั้นฉันฟังเพลงเยอะมาก ช่วงล็อกดาวน์น่าจะเป็นเวลาที่ฟังเพลงเยอะที่สุดในชีวิตแล้วแหละ

HYH: เธอจะอธิบายถึงส่วนผสมที่ทำให้เกิดเป็น Beatopia ได้ยังไงบ้าง

Beabadoobee : ฉันไม่ค่อยสนใจสิ่งที่คนอื่นคิดเท่าไหร่ คือมันออกมาในช่วงโควิดแล้วเหมือนมันพาฉันย้อนกลับไปช่วงที่คิดว่า ไม่มีใครฟังเพลงของฉันด้วยซ้ำ ฉันก็คิดแค่ว่า งั้นฉันจะทำเพลงที่ฉันอยากทำ ไม่ต้องทำให้คนอื่นชอบ แค่ฉันชอบคนเดียวก็พอ แล้วหลาย ๆ เพลงก็มีความหมายกับฉันมาก ๆ ความสนุกคือในอัลบั้มนี้ฉันทำเพลงกับเพื่อนใหม่คือเจค็อบ มือกีตาร์ แล้วเขาเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ และมีพรสวรรค์มากที่สุดคนนึงที่ฉันรู้จัก แล้วพวกเราเป็นคนราศีมิถุนเหมือนกัน ก็เป็นคนบ้า ๆ เหมือนกัน (หัวเราะ) แล้วช่วที่ผ่านมาพวกเราก็เจออะไรหลายสิ่งมาก การทำงานกับเขาเหมือนได้สุมหัวกันแล้วเพลงก็ออกมาแบบลื่นไหลจริง ๆ

HYH: ตอนทำเพลงสองคนยากหรือง่ายกว่าทำคนเดียว

Beabadoobee : มันไม่ได้ยากลำบากขนาดนั้น มันเหมือนฉันได้ฝึกเขียนเพลงกับคนอื่นมาตั้งแต่ตอน EP แล้วตอนนั้นฉันก็เริ่มที่จะยอมรับความคิดของคนอื่นบ้าง EP นี้เหมือนเป็นสะพานเชื่อมจาก Fake It Flowers มาเป็น Beatopia เหมือนกันนะ มันมาพร้อมกับความคิดที่อยากร่วมงานกับคนใหม่ ๆ อย่างอันนี้ค่อนข้างง่ายเพราะเรารสนิยมคล้าย ๆ กัน เขาเหมือนเป็นเพื่อนรักฉันด้วย คือถ้ามีอะไรที่เขาไม่ชอบก็บอกกันได้ตรง ๆ ไม่มีการมางอนกัน แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือมันยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ เวลาสองคนช่วยกันทำมากกว่าหัวเดียว เจค็อบช่วยดึงเอาสิ่งที่อยู่ในตัวฉันออกมาในเพลงเยอะมาก

HYH: อะไรคือสิ่งท้าทายของการมีแฟนเป็นคนที่ร่วมงานสร้างสรรค์ด้วย

Beabadoobee : มันก็ลำบากอยู่ (หัวเราะ) เราต้องหาบาลานซ์ ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าต้องทำอะไร ถ้าใครมาบอกให้ทำอะไร โดยเฉพาะจากแฟนของฉัน ฉันจะ ไม่อะ ไม่ทำ เราต้องจำว่าเราอยู่ทีมเดียวกัน อย่างแฟนฉันเป็นคนออกแบบเวทีให้ Beatopia Tour มันก็เป็นช่วงที่สนุกมากที่ได้มาสร้างโลกนี้ด้วยกัน ส่วนมิวสิกวิดิโอเองก็เหมือนกัน มันสำคัญมาก ๆ ที่ต้องคุยกันเยอะ ๆ เป็นแฟนกันแล้วได้มาทำงานด้วยกันก็สนุกดีค่ะ

HYH: รูปปกอัลบั้มอันนั้นวาดเองหรือเปล่า

Beabadoobee : ไม่ได้วาดเองค่ะ แต่จะเล่าอะไรให้ฟังไว ๆ ตอนฉันอายุ 7 ขวบ ฉันทำโปสเตอร์อันนึงของ Beatopia ออกมา มันเจ๋งมาก มีชื่อแต่ละประเทศ ทุกภาษา แล้วฉันวางทิ้งไว้ที่โรงเรียน แล้วฉันก็ไปเรียนไวโอลิน พอเดินกลับมาที่ห้องก็งงว่าทำไมทุกคนมองฉันแปลก ๆ ตอนนั้นครูของฉันชื่อ Mr. Robert เขาถามว่า มีอะไรอยากเล่าให้เราฟังไหมบี ฉันแบบ ฮะ? แล้วเขาก็พูดว่า Beatopia แล้วเอาโปสเตอร์อันนั้นไปแปะบนไวท์บอร์ด แล้วทุกคนก็หัวเราะเยาะฉัน ฉันแบบ เชี่ยไรเนี่ย แล้วความที่ฉันเป็นชาวมิถุนฉันก็เลยแบบ ฮ่า ๆ เออแม่งไอเดียงี่เง่าว่ะ นับแต่ตอนนั้นฉันเลยลบเรื่อง Beatopia ออกไปจากหัวสมองและไม่พูดถึงมันอีกเลย ฉันเลยจำไม่ได้ว่าตอนนั้นวาดอะไรไปบ้าง แล้วก็ไม่เคยเห็นโปสเตอร์อันนั้นอีกเลย จนกระทั่งมาเจอกับ Julia Star ที่เป็นคนทำปกอัลบั้มอันนี้ เธอเป็นช่างสักที่เก่งมาก ๆๆๆ แล้วเธอก็ทำงานศิลปะอยู่แล้ว ฉันส่งเพลงในอัลบั้มนี้ไปให้เธอฟัง แล้วฉันก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น เล่าสีที่ฉันเห็นเวลานึกถึง Beatopia แล้วเธอก็เสกภาพออกมาบนกระดาษ ใช้สีไม้สีน่ารักมาก ๆ เป็นมนุษย์ที่มหัศจรรย์มาก ๆ คนนึงที่ฉันเคยเจอ แล้วเธอก็สักรูปนางฟ้าผีเสื้อให้ฉันด้วย คือเธอสามารถถ่ายทอด Beatopia ออกมาได้ สมบูรณ์แบบจริง ๆ


HYH: เล่าให้ฟังเกี่ยวกับเพลง ‘See You Soon’ หน่อย

Beabadoobee : เป็นเพลงที่ลงตัวมากเพราะตอนนั้นฉันมีแค่คอร์ดกับเนื้อเพลง ฉันเขียนเพลงขึ้นมาจากกีตาร์ ทำกับเจค็อบ ฉันไม่เคยทำงานกับใครใกล้ชิดขนาดนี้มาก่อน แล้วมันเกิดขึ้นแบบง่ายดายมาก ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่เขียนง่ายแล้วก็เป็นหนึ่งในเพลงที่ชอบที่สุดใน Beatopia เพลงนี้เกี่ยวกับตอนที่ฉันทริปเห็ด (หัวเราะ) มันเป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ฉันอยากจะบันทึกความรู้สึกนั้นไว้

HYH: เพลง 10:36

Beabadoobee : เป็นเพลงที่ฉันเขียนขึ้นมาช่วงเดียวกับ Talk มีความคล้ายเพลงในอัลบั้ม Fake It Flowers อยู่ คือมีคอร์ดทำค้างไว้ตั้งแต่ก่อน Our Extended Play อีก คิดว่าแค่อยากทำเพลงป๊อปร็อก เป็นครั้งแรกที่เราทดลองใช้ดรัมแมชชีน ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่เราได้สปอนเซอร์อุปกรณ์จาก Teenage Engineering เป็นอะไรที่น่าสนใจมากที่ได้ยินเสียงพวกนี้ในเพลงของฉันแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นอีกเพลงที่ชอบมากในอัลบั้มนี้เพราะสนุกที่ได้ทำค่ะ ท่อนคอรัสนี่เป็นอะไรที่ชอบมาก

HYH: ทำไมถึงมีเพลงชื่อ ‘Tinkerbell is Overrated’

Beabadoobee : Tinkerbell เป็นเพลงแรก ๆ ตอนที่เริ่มทำ Beatopia เจค็อบก็อยู่ดี ๆ มีไอเดียที่จะเขียนถึงทิงเกอร์เบลขึ้นมา บอกได้เลยว่าเป็นเพลงที่ประหลาดมาก เนื้อเพลงเกี่ยวกับช่วงที่กักตัวโควิด ฉันอยู่ในห้องตัวเอง แล้วก็พูดกับแมลงที่อยู่ในห้อง แล้วเราก็เป็นเพื่อนรักกัน บ้าบอมาก

HYH: บีเป็นคนฟิลิปปินส์ที่ย้ายมาอยู่อังกฤษตั้งแต่ 3 ขวบ แต่ว่าบีมีเพลงฟิลิปปินส์เพลงไหนไหมที่ให้แรงบันดาลใจจนถึงทุกวันนี้

Beabadoobee : ฉันเพิ่งมาตระหนักได้ว่าเพลงที่ซึมเข้ามาในหัวโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เด็ก ๆ คือพวกเพลงคลาสสิก แล้วก็มี OPM เพลงรักอย่าง Apo Hiking Society ฉันฟังเพลงนั้นบ่อยมาก แล้วก็ฟังเพลงนี้ในหลาย ๆ เวอร์ชันที่คนอื่นเอาไปคัฟเวอร์

HYH: ตอนทำเพลง ‘Coffee’ เธออัดเพลงจากในห้องนอน โดยก็เรียนกีตาร์เอาจาก YouTube แต่ตอนนี้เธอกำลังจะได้เล่นที่ Coachella และประสบความสำเร็จในเส้นทางดนตรีมาก ๆ ชีวิตของเธอเหมือนหนังวัยรุ่นใน Netflix ที่อยู่ดี ๆ ก็พลิกผัน

Beabadoobee : ไม่คิดไม่ฝันเลยค่ะ ความฝันจริง ๆ ของฉันคือการเป็นครูชั้นอนุบาล มีชีวิตเรียบง่าย (หัวเราะ) แต่พอถึงจุดนึงเข้าจริง ๆ มันก็รู้สึกว่า เออ ก็ต้องทำให้ดีที่สุดแหละ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้มันมหัศจรรย์และฉันรู้สึกปลาบปลื้มมาก สิ่งที่ช่วยให้ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเองน่าจะเป็นการที่ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คือความสำเร็จมันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกตื้นตันขนาดนั้น คือดีใจมันก็ดีใจ แต่มันไม่เคยอยู่ในหัวนานเลย เพราะฉันคิดว่า... มันเกิดขึ้นเองอย่างนั้นมั้งคะ (หัวเราะ) ยิ่ง Coachella คือมันบ้ามาก ฉันยังงง ๆ อยู่เลยว่ามันเกิดขึ้นได้ไงวะ


HYH: รู้สึกยังไงที่ได้เป็นคนฟิลิปปินส์ที่อายุน้อยที่สุดที่จะได้เล่นที่ Coachella

Beabadoobee : ฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้เล่นเฟสติวัล เป็นคนฟิลิปปินส์ที่ได้อยู่บนเวทีนี้มันคงรู้สึกดีมาก ๆ แล้ว เอาจริงตอนนี้ฉันรู้สึกภูมิใจกับต้นกำเนิดของตัวเอง อย่างมีครั้งนึงที่เด็กฟิลิปปินส์เดินมาคุยกับฉัน เล่าเรื่องชีวิตของเธอให้ฉันฟัง บทสนทนานั้นมันทำให้ฉันรู้สึกดีมาก ดีกว่าการได้รับรางวัลอะไรซะอีก การเป็นคนฟิลิปปินส์ที่ย้ายมาอยู่ลอนดอนแล้วได้เห็นว่าพ่อแม่ผ่านอะไรมาบ้าง รวมถึงมองดูตัวฉันเองที่มาถึงจุดนี้ได้ มันยิ่งภูมิใจที่ฉันสามารถเลี้ยงพ่อแม่จากเพลงของฉันเองได้แล้ว มันเป็นโอกาสที่เยี่ยมมาก แบบไม่น่าเชื่อ

HYH: ในวงการอินดี้ร็อกดัง ๆ สมัยก่อนไม่ค่อยมีพื้นที่ให้กลุ่มคนหลากหลายทางเชื้อชาติหรือผู้หญิงเท่าไหร่ เธอคิดว่าการเป็นคนเอเชียนของเธอได้สร้างแรงสั่นสะเทือนกับวงการยังไงบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เธอเป็นศิลปินอิสระ

Beabadoobee : มันเป็นแรงผลักดันจริง ๆ นะ ตอนเด็ก ๆ ฉันก็อยากมีไอดอลที่หน้าตาเหมือนอย่างฉัน ถ้าฉันได้สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กผู้หญิงคนนึงที่เหมือนกับฉันได้ นั่นก็มีความหมายมาก ๆ แล้ว เอาจริงมันเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าฉันจะมีอิทธิพลกับเด็กหญิงเอเชียนได้ ฉันเพิ่งมารู้สึกตัวตอนที่เริ่มทำเพลงว่าจริง ๆ ฉันชื่นชมศิลปินเหล่านี้ อย่าง Miki Berenyi วง Lush ก็เป็นแรงผลักดันให้ฉันเหมือนกัน

HYH: คิดยังไงกับวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ต อย่างสมัยก่อนเราเล่น tumblr มีเพื่อนมาแชร์เพลงกัน เธอได้แรงบันดาลใจอะไรจากสังคมออนไลน์บ้างไหม

Beabadoobee : มันก็เจ๋งดีนะคะ การที่เราอยู่ในกลุ่มออนไลน์เดียวกัน ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน ฟัง The 1975 แล้วสุดท้ายก็มาเป็นเพื่อนกัน สมัยก่อนตอนเข้าไฮสคูลปีแรก ฉันเป็นคนเก็บตัวมาก จนฉันได้มาเจอเพื่อน ๆ ก็ต้องขอบคุณพวกนั้นเหมือนกันที่ทำให้ตัวตนของฉันแสดงออกมา อย่างเพลงที่ฉันชอบฟัง การแต่งตัว ได้มาจากเพื่อน ๆ หมด แล้วเราก็โพสต์เรื่องราวที่เราสนใจลง Instagram แชร์กับคนที่คิดเหมือน ๆ กัน แต่มันก็มีอะไรแปลก ๆ ปะปนมาด้วย (หัวเราะ)

HYH: ปกติได้แรงบันดาลใจในการเขียนเพลงจากอะไร

Beabadoobee : พยายามที่จะดูหนังเยอะ ๆ เสพศิลปะให้ได้มากที่สุด ไปแกเลอรี่ ไปเจอเพื่อน ๆ เราได้แรงบันดาลใจจากตรงนั้นเยอะมาก ฉันเคยได้ไอเดียเขียนเพลงจากการออกไปเที่ยวกลางคืนในวันอังคาร รู้สึกว่ามันเป็นวันที่กำลังดี คนไม่พลุกพล่านมาก แล้วก็ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ควรจะทำในวันนั้น วัยรุ่นทำได้หมด อย่าไปกลัวที่จะทำอะไรผิดพลาดในชีวิต เราเรียนรู้จากความผิดพลาดกันทั้งนั้นแหละ อยากลองทำอะไรลองเลย พอแก่แล้วทำไม่ได้นะ (หัวเราะ)

HYH: เพลงแรกที่ทำให้เรารู้จัก Beabadoobee คือ ‘She Plays Bass’ แล้วตอนนี้เด็กผู้หญิงหลาย ๆ คนในจีนก็เริ่มเรียนกีตาร์กับเบส ช่วยพูดให้แรงบันดาลใจเด็ก ๆ ที่เพิ่งเริ่มเล่นดนตรีหรือกำลังทำเพลงหน่อย

Beabadoobee : มันไม่มีผิดมีถูกตอนเล่นกีตาร์หรือแต่งเพลง แค่เล่นให้สนุกก็พอ สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจเลยคือเราแค่ทำไปเรื่อย ๆ เล่นไปเรื่อย ๆ อย่ายอมแพ้ ยิ่งเล่นยิ่งเก่ง ทำไปเถอะ

HYH: คิดว่าตัวเองตอนอายุ 7 ขวบจะรู้สึกยังไงถ้าได้มาเห็น Beatopia ออกมาเป็นรูปเป็นร่างแบบนี้

Beabadoobee : คิดว่าคงจะดีใจมากๆแต่ก็จะมีคำถามเยอะมากเหมือนกันตอนนั้นฉันอายุ 7 ขวบยังไม่มีรอยสักยังไม่มีแฟนเธอน่าจะรักฉันแต่ก็จะงงกับฉันนิดหน่อย (หัวเราะ) คงมีหลายความรู้สึกมากแต่เธอคงจะภูมิใจในตัวฉันแหละเอาจริงฉันเป็นหนี้บุญคุณเด็กคนนั้นมากนะต้องผ่านอะไรมาเยอะมากๆกว่าจะมาเป็นแบบนี้ได้เนี่ย

อัลบั้ม Beatopia จะวางจำหน่ายในวันที่ 15 กรกฎาคม

ตอนนี้ไปฟังซิงเกิ้ลแรก ‘Talk’ ที่เธอเพิ่งปล่อยออกมากันได้เลย



 

THE LATEST

Previous
Previous

HAVE YOU HEARD? : JAKOB fka jakob ogawa Live!

Next
Next

NOT SO LONELY - HYH HOLIDAY PLAYLIST